055 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ - - ตุลาคม ๒๕๒๖ เหล่าพวกเราที่เป็นนักศึกษาจริงๆ เรียกว่าเป็น เสขบุคคล โดยความหมาย เสขบุคคล ในทางธรรม เขาได้ตัดรอบ กันอยู่หน่อยหนึ่ง คำว่าผู้ศึกษา เข้ามาเป็นนักศึกษาได้นี่ เขาจะต้องมีความหมาย ตัดเอาไว้ว่า ต้องเป็นผู้ที่ได้ ผ่านมรรคผ่านผล เข้ามาเสียก่อน อย่างน้อยก็เป็น โสดาปฏิมรรค เป็นผู้ที่รู้ทางปฏิบัติ แล้วก็เข้ามา ปฏิบัติเป็นอย่าง สัมมาทิฏฐิถูกทาง เขาเรียกว่า เสขบุคคล เป็นคนที่จะออกจากโลก อย่างโลกียะ เข้ามาบำเพ็ญเพียร มีทางปฏิบัติ มีการอบรมเล่าเรียนปริยัติ เล่าเรียนทฤษฎีความหมาย ให้รู้ทางเดิน ให้รู้ทางประพฤติปฏิบัติ อย่างแท้จริง ผู้ที่ปฏิบัติ ผู้ที่เล่าเรียนมาแล้ว ก็ไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจว่า เป็นสัมมาทิฏฐิหรือเปล่า เรามีโสดาปฏิมรรคหรือเปล่า เรามีผลมั่งหรือเปล่า เขาก็ได้มีกันมานานแล้ว ไม่รู้หรอก เขาไม่ยืนยัน จะได้มรรคบ้าง เขาก็ไม่รู้ จะได้ผลบ้าง เขาก็ไม่เข้าใจ จะเรียนทฤษฎีใหม่ เขาเรียนได้ผลใหม่ เขาไม่พูดเลย มีมานานแล้ว ศาสนามันอ่อนจาง จนกระทั่ง มันเป็นอย่างนั้นมานาน ส่วนพวกเราได้มาศึกษา ได้เข้ามาปฏิบัติประพฤติ ได้เข้ามาเรียนทฤษฎี มาเรียนแนวทาง มาทำความเห็นแจ้ง มาทำความมั่นใจ มาทำให้มันรู้ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ตาม จะกล่าวกันว่า ปฏิบัติมรรคองค์ ๘ ก็ตาม ปฏิบัติด้วย สติปัฏฐานก็ตาม ปฏิบัติวิปัสสนาธุระ สมถะ อะไรก็ตาม เราเองก็เรียน แล้วเราก็เอามาประกอบ ในความรู้ เข้าใจความหมาย และเราก็จะรู้ ตัวตนของเราเองดีว่า เราเข้าทาง หรือ เข้ามรรคหรือเปล่า มีมรรคปฏิปทา ที่เราได้ปฏิบัติประพฤติกัน วันต่อวัน วันต่อวัน เราแน่ใจไหม ได้เพิ่มตนเป็นอริยะ เป็นเสขบุคคล โดยเฉพาะ เมื่อปฏิบัติแล้ว เราก็ได้ผล รู้สึกหลุด รู้สึกลดละ จางคลาย เรียกว่า สักกายะนั้นพ้นลง คือความที่มันมีกลุ่มมีก้อน มีความประชุมอยู่อย่างใหญ่ มันก็เล็กลง เบาบางลง สักกายะที่ว่า ก็คือตัวกิเลส ที่เราไปติดไปยึด โลกียะหยาบๆ เป็นกิเลสด้วย รู้อาการของกิเลส ก็อยู่ที่จิต และจิตเราเบาบาง จางลง ปละปล่อยละ ละลงมา ไม่โกรธลงมาจริงๆ กับสิ่งนั้นสิ่งนี้ สิ่งนั้นที่เป็นปัจจัย ปัจจัยที่มันไม่ใช่ของสมควร มันไม่ใช่ของที่จะมา เที่ยวได้ยึดถือติด อะไรเอาไว้ เอาออกได้ก่อน เป็นระดับๆ ตามที่เราได้ไล่ขั้นตอน เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย เมื่อเราได้ปฏิบัติมา อย่างนั้น เราก็จะเห็นจริง ด้วยตัวเองทุกคนว่า เรามีมรรค เรามีผล จริงหรือไม่ เมื่อเรามีมรรคจริง และ ยิ่งมีผลจริง เราก็รู้ว่า เราได้เป็น เสขบุคคลจริง ได้ประพฤติปฏิบัติเข้ามา เป็นนักศึกษา เป็นนักปฏิบัติ ที่มีผล มีทางเดิน ที่มั่นหมายได้ และยิ่งจะรู้ว่า เราเดินทางนี้ไป เราได้สูงขึ้น เบาบางขึ้น สอบทาน มีบุพเพนิวาสานุสติ ให้เกิดญาณ ให้เกิดการรู้ว่า เราเองเราได้นะ เราเทียบเคียง ตั้งแต่ก่อนนี้ กับเดี๋ยวนี้ เรามีผลนะ เราลดโลภ ลดโกรธ ลดหลงลงจริงๆ เราเกิดญาณทัสสนวิเศษ เราเกิดปัญญา อธิปัญญา ไม่ใช่ปัญญาไปสร้าง อะไรในโลก แต่เป็นปัญญาเห็นรู้ เข้าใจชัดแจ้ง ในสิ่งที่เกิด สิ่งที่เป็น มันเกิดเป็นอริยะเข้าแล้ว มันเกิดเป็นสิ่งจริง ที่มันลดละเข้าจริง ในตัวเรานี่แหละ โอปปาติกะ หรือว่า จิตวิญญาณของเรา ได้ถูกฟอก ถูกชำระ ถูกทำให้เปลี่ยนแปลง มีความมั่นใจ มีความตั้งมั่น ที่เราทำได้โดยปรกติ ไม่ยาก ไม่เย็น แต่ก่อนนี้ เราว่ายากเย็น ต่อมามันก็เบาบาง มันไม่ยากไม่เย็น สุดท้าย มันไม่เหลือ แม้แต่เชื้ออย่างนี้สนิท เราก็รู้ว่า มันหมดสนิท มันไม่มีอาการ มันไม่มีอารมณ์อีก เป็นเรื่องๆ เป็นส่วนๆ เป็นปัจจัยๆ เป็นอันๆ ที่เราพิสูจน์ชัดๆ ขึ้น เราก็จะชัด ยิ่งมากอันมากอย่าง มากเรื่องมุมโลก เราก็ยิ่งชัด เราก็ยิ่งจะมั่นใจ ของเราเอง ไม่มีใครไปทำความมั่นใจ ให้คุณหรอก คุณจะมั่นใจ เพราะปัจจุบัน เพราะสิ่งที่เห็นด้วยตนเอง รู้ด้วยตนเอง ได้ด้วยตนเอง เป็นด้วยตนเอง คนในโลก เราก็ไม่ไปปิดบัง ไปอำพรางอะไร เขาหลงอยู่ เราก็เห็นว่าเขาหลง เขายังเป็นภาระ เขายังหนักหนา เขายังเสพเป็นสุข เขายังหลงว่า เป็นความสุข เราก็จะรู้ว่า เราหมดหลง เอ๊! มันไม่ใช่ความสุข แต่ก่อน เราก็เคยหลง อย่างเขาว่า เป็นความสุข เดี๋ยวนี้เราไม่ได้หลง ว่าเป็นความสุข เรารู้ว่า ยิ่งหลุดไปเลย เราไม่ต้องไปเสพสม ไม่ต้องไปแสวงหา ไม่ต้องไปเป็นภาระเกี่ยวข้อง ไม่ต้องมาคลุกคลี มันก็ยิ่งเบาว่างง่ายแล้ว ชีวิตเราก็ไม่ได้ตกต่ำอะไร นอกจากไม่ตกต่ำ กลับจะยิ่งอุดมสมบูรณ์ ประเสริฐ มีคุณค่า มีประโยชน์มากขึ้น ยิ่งกว่าเก่าด้วยซ้ำ สิ่งเหล่านี้ เอามาอธิบาย เอามากระจายความ ให้พวกคุณได้เอาไปเทียบ ไปวัด ไปไตร่ตรอง พิจารณาสอบสวน เราจะได้ไม่เป็นคนงมงาย จะได้เป็นคนที่มีของจริง กระทำรู้เหตุ รู้ผล รู้ได้ไม่ได้ รู้จริงไม่จริง รู้มีไม่มี รู้เป็นไม่เป็น เป็นได้เป็นไม่ได้ ได้รู้ชัด แล้วเราก้าวหน้า หรือไม่ก้าวหน้า เราก็จะรู้อีกด้วย เราจะได้เป็น เสขบุคคล ผู้แม้แต่ขอบเขต หรือว่าคุณธรรม คุณค่า ที่มีขีดมีขั้น เป็นโสดา เป็นสกิทา มีสภาพอย่างไร เราก็ได้แจกแจง บอกให้เราได้ดู ได้แล ได้เป็นไป ขอร้องอยู่อย่างเดียวแต่ว่า เมื่อเราได้จริง มีจริง ก็อย่าให้มีกิเลสเสริม คือ กิเลสใหญ่มานะ หลงดี หลงตัวหลงตน ถือดี ถือตัวถือตน ไม่เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน กลับกลายเป็นได้แล้ว ยิ่งเป็นคนแข็งกระด้าง เป็นคนจัดจ้าน เป็นคนรุนแรง เป็นคนที่ได้ฟาดได้ฟันคนอื่น ข่มเหงเอาตามอำเภอใจ เบียดเบียนเขา โดยที่เขา ยังทำไม่ได้ คนอื่นเขายังไม่สามารถ แต่เราก็ข่มขี่ข่มขู่ด้วยใจ เราคิดแต่ว่า เราปรารถนาดี อยากให้เขาได้ดีตามเรา หรือยิ่งไม่รู้ตัวว่า เรามีมานะเบ่งใหญ่ ทับถมข่มเขา อวดอ้างอวดโอ่ โชว์จนเกินเหตุ เกินการ สิ่งอย่างนี้ ขอให้ระมัดระวังอย่างมาก การได้ดีแล้วหลงดี มันทำให้หมดค่า ไปได้เหมือนกัน เพราะงั้น การได้ดีในภูมิต่ำ แต่ก็มีกิเลสในส่วนสูง มันทำให้เราสูญค่าได้ โดยในประการอย่างนี้ ก็ขอให้เราได้พิจารณา
ระลึกรู้ตัวทั่วพร้อม ศึกษาเสริมขึ้นไปอีก เราจะได้ไม่ประดักประเดิด เราจะได้งามสมส่วน บริบูรณ์ลงตัว งามดูอย่างเพียบพร้อมพรั่งพร้อม ไม่ดูกลายเป็นว่าดำๆ
แล้วก็ขาวๆ ขาวแต่ก็ดำ ดำยังมีขาว แล้วก็ยังมีด่าง มันดีแต่มันก็ยังมีเปื้อน
อะไรอย่างงี้ มันจะไม่เป็นอย่างนั้น ถ้าเผื่อว่า เราทำได้ขาว เราก็ได้ผ่อง
ได้สะอาด ขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างนี้มันก็จะไปได้ดี ได้เร็ว จะได้เป็นหมู่เป็นกลุ่ม
ที่มีอำนาจ มีไม่ใช่อำนาจไปข่มขี่ใคร มันเป็นอำนาจดึงดูด เป็นอำนาจนำพา ที่จะให้คนในสังคม เข้ามารู้มาเห็น ว่าโอ้! อันนี้น่าเลื่อมใสหนอ น่าเอาอย่างตามหนอ
มันจะได้เป็นอำนาจดึงดูด นำพาอย่างนั้น แล้วมัน ก็จะได้พากันไปได้ดี เราได้ประโยชน์เรา
และก็จะทำให้คนอื่น พาได้ติดตามมา เป็นประโยชน์ จูงดึงกัน อย่างนี้ ขอให้เราได้พิสูจน์กันเถิด
สิ่งเหล่านี้ เราจะเป็นเสขบุคคล จนกระทั่ง แต่ละสิ่งแต่ละอย่าง เป็นอเสขะ
ศีลแต่ละข้อ เป็นอเสขะลงไปในตัว เพราะมันมีสมาธิอันอเสขะ มีปัญญาอันอเสขะ
มันมีวิมุติอันอเสขะ มีวิมุติญาณทัสสนะ อันอเสขะ คือไม่ต้องศึกษาอีกแล้ว อันนี้จบ
อันนี้เป็นไปได้ อันนี้ลงตัว เรื่องนี้แต่ละเรื่อง แต่ละเรื่อง มีอเสขะ ให้เรารู้เป็นเรื่องๆไปได้ อะไรที่เหลืออยู่ ยังไม่อเสขะ เราก็จะต้องรู้ แล้วเราก็ทำอีก ทำอีก
จนสุดท้าย เป็นพระอรหันต์ ก็คือ อเสขะทุกอย่าง ไม่มีอะไรเหลือ เราเอง ขอให้ทุกคนได้มาพิสูจน์เรื่องเป็นเสขะ จนถึงอเสขะนี้กัน ทุกคนเทอญ สาธุ.
ธรรมปัจเวกขณ์ ๒๕๒๖
|